เมื่อมีแบรนด์แฟชั่นอยู่มากมาย การทำให้แบรนด์ของเราโดดเด่นกว่าคู่แข่งจึงเป็นเรื่องท้าทาย ซึ่งการวางแผนกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ได้ประสิทธิภาพถือเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง เพราะหากนำมาใช้ถูกทาง จะสามารถเพิ่มยอดขาย เสริมภาพลักษณ์แบรนด์สินค้า และช่วยให้แบรนด์สร้างกำไรมากขึ้น ส่งผลให้สินค้าของคุณเข้าตาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เมื่อวางกลยุทธ์ได้ถูกต้องจึงเพิ่มทั้งการรับรู้แบรนด์สินค้า สร้างยอดขาย และยังเปลี่ยนผู้แวะชมสินค้าให้เป็นกลายเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ หรือทูตสินค้าให้กับคุณได้ด้วย
ดีเรค โรบินสัน ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร Top Notch Dezigns แนะนำว่าการตลาดออนไลน์ถือเป็นก้าวที่จำเป็นในธุรกิจ หากต้องการเปิดตลาดลูกค้าไปทั่วโลกและได้ประสิทธิภาพ และนี่คือฮาวทูในการใช้การตลาดออนไลน์มาสร้างผลกำไรให้ธุรกิจแบรนด์แฟชั่นของคุณ
แม้ว่ากลุ่มเป้าหมายที่เข้าเว็บไซต์หรือเห็นโฆษณาจะยังไม่ได้กดซื้อสินค้าในทันที แต่หน้าโฆษณานั้นยังคงอยู่ คุณจึงสามารถกำหนดการยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย เพื่อทำให้พวกเขานึกถึงสินค้าที่เพิ่งเห็นก่อนหน้านี้ได้
ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ชมยังไม่เข้าเว็บไซต์ในระยะเวลาที่กำหนดไว้ หรือกลุ่มที่กดเพิ่มสินค้าไว้ในตะกร้าแต่กดยกเลิกในภายหลัง คุณสามารถเพิ่มข้อเสนอให้น่าสนใจมากขึ้นด้วยการมอบส่วนลดให้กับพวกเขา ด้วยการยิงแอดแบบ Retarget หรือกระตุ้นกลุ่มเป้าหมายกลับมาตัดสินใจซื้อสินค้า
จากการสำรวจโดย Uhuru ที่วิเคราะห์การยิงโฆษณาเฟสบุ๊กของแบรนด์ต่าง ๆ พบว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนในการลงทุนทำแคมเปญโฆษณาแบบ Retarget ในบางแบรนด์ได้ผลตอบแทนกลับมาถึง 398% และบางแบรนด์สูงถึง 660% กลยุทธ์โฆษณาทางโซเชียลมีเดียสำหรับแบรนด์แฟชั่นจึงสำคัญอย่างมาก
ในช่วงวันหยุดเทศกาลให้ใช้วิธีอีเมลไปยังสมาชิก เพื่อให้ข้อมูลการจัดแคมเปญส่วนลดสินค้าในหมวดต่าง ๆ อาทิ จัดแคมเปญลดราคา 10 วัน โดยมีสินค้าแต่ละหมวดหมุนเวียนกันไปในแต่ละวัน ซึ่งแบรนด์ Gap เคยจัดแคมเปญออนไลน์ในลักษณะนี้ และได้ผลตอบรับเพิ่มขึ้นจากเดือนอื่น 2.3 เท่า
วิธีการนี้ยังทำให้สมาชิกของคุณช่วยบอกต่อโปรโมชั่นไปยังเพื่อน ๆ ของพวกเขาด้วย และช่วยเชิญชวนลูกค้าให้ใช้จ่ายมากขึ้น ขณะที่คุณก็ควรจะแชร์ส่วนลดและโปรโมชั่นทั้งหมดไปยังเว็บไซต์ และโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม อาทิ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม
ถ้าแบรนด์แฟชั่นของคุณมีเสื้อผ้าหลากหลาย คุณสามารถจัดทำคู่มือแนะนำการแต่งกายบนเว็บไซต์ เพื่อให้สมาชิกและผู้เข้าเยี่ยมชมได้ไอเดียในการจับคู่เสื้อผ้ากับไอเทมต่าง ๆ โดยปรับแต่งให้เข้ากับโอกาสพิเศษต่าง ๆ ได้ เช่น ชุดสำหรับไปปิกนิก ชุดไปงานแต่งงาน
นอกจากนี้ ก็ยังนำไปเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทำการตลาดสินค้าแฟชั่นออนไลน์ได้อีกด้วย แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลืมให้ข้อมูลรายละเอียดสินค้าต่าง ๆ ให้ครบถ้วน
หากอยากได้กลุ่มเป้าหมายลูกค้าให้ตรงเป้ามากขึ้น การร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ อาทิ บล็อกเกอร์ หรือวล็อกเกอร์ (Vlogger) สายแฟชั่นที่มียอดผู้ติดตามจำนวนมาก ถือว่าตอบโจทย์ เพราะส่วนใหญ่ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ พวกเขาจึงช่วยทำให้ยอดขายของคุณสูงขึ้นได้ผ่านการรีวิวหรือแนะนำสินค้า
การใช้อินฟลูเอนเซอร์จะช่วยให้สินค้าของคุณได้รับการโปรโมทไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพและหลากหลาย หากเลือกอินฟลูเอนเซอร์ได้ถูกคน ก็จะดึงลูกค้าใหม่เข้ามารู้จักสินค้าได้ด้วย
ในเมื่อผู้คนไม่ได้ซื้อของขวัญแค่เฉพาะวันเกิดหรือช่วงคริสต์มาส แต่ยังมีเทศกาลอื่น ๆ ที่ได้รับความสนใจด้วย ทั้งวันพ่อ วันแม่ วันรับปริญญา วันครบรอบวันแต่งงาน และวันสำคัญอื่น ๆ จึงเป็นไอเดียที่ดีในการทำการตลาดให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณในโอกาสสำคัญต่าง ๆ เช่น หากเป็นเจ้าของร้านขายเสื้อผ้า คุณสามารถโปรโมตเสื้อผ้าสำหรับคู่รักในวันวาเลนไทน์ หรือเสื้อผ้าผู้ชายสำหรับวันพ่อ ซึ่งจะเชื้อเชิญให้กลุ่มเป้าหมายสนใจซื้อสินค้าได้ตลอดทั้งปี และยังสร้างความรู้สึกผูกพันกับแบรนด์ได้มากขึ้น
อีกวิธีหนึ่งที่จะสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้ คือการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้จะช่วยพัฒนาการรับรู้แบรนด์ และสร้างความรู้สึกในการเป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้ได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้การมีส่วนร่วมของคุณมีประสิทธิภาพ คือการสร้างแคมเปญให้ตรงใจและเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าของคุณ เช่น จัดการแข่งขันในเพจเฟซบุ๊ก และอินสตราแกรม โดยเน้นการสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างแบรนด์ของคุณกับลูกค้า
สำหรับสินค้าที่มียอดขายสูงสุด คุณสามารถจัดให้มีการแจกรางวัลจากการแข่งขันในในอินสตราแกรมได้ ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Catparty จัดการแข่งขันแจกของรางวัล โดยผู้ชนะจะได้รับชุดผลิตภัณฑ์มูลค่า 14 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งก่อนการแข่งขันพวกเขามีผู้ติดตามบนอินสตราแกรม (IG) ประมาณ 200 คน แต่หลังการแข่งขันพบว่ามีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นถึง 70% ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมแข่งขันแจกของรางวัล อาจทำเดือนเว้นเดือนหรือทุกเดือนก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ คือการเลือกใช้แฮชแท็ก (#)ให้เหมาะสม ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ IG สามารถติดตามกิจกรรมได้ง่าย และการแข่งขันแบบนี้ยังเพิ่มการรับรู้แบรนด์ และเพิ่มยอดผู้ติดตามได้ด้วย