Clinic Marketing (#15) (#18)

https://chat.foxbot.app/webchat/?p=1116283&id=RA4oWc5dayKYU8B9
Video Marketing Form V2

โปรดกรอกฟอร์ม ทางเราจะติดต่อกลับภายใน 24 ชม.

หลังจาก กดส่งฟอร์มแล้ว รบกวนเช็คที่อีเมล Inbox หรือ Junk Mail ทางระบบเราจะมีส่งข้อมูลเพิ่มเติม และตอบกลับให้ทางเมล ภายใน 5 นาที

วิธีทำ SEO เพิ่มอันดับ Google สำหรับ SME และ E-Commerce

การทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับธุรกิจ SME และธุรกิจ E-Commerce ที่ต้องการเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google และดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีศักยภาพ  

IPlan Digital Agency มีคู่มือวิธีทำ SEO แบบครบถ้วน เพื่อช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ของคุณ และทำให้เว็บไซต์ติดอันดับค้นหาบน Google อย่างรวดเร็ว หากต้องการให้ธุรกิจ SME และ E-Commerce ของคุณ ติดอันดับบน Google อย่างมืออาชีพ อย่าลืมเช็กลิสต์สิ่งเหล่านี้!

วิธีทำ SEO เพิ่มอันดับ Google สำหรับ SME และ E-Commerce
วิธีทำ SEO เพิ่มอันดับ Google สำหรับ SME และ E-Commerce - วิธีทำ SEO

เครื่องมือทำ SEO ที่ต้องมี  

การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการตั้งค่าพื้นฐานที่ถูกต้อง การใช้เครื่องมือและเทคนิคที่เหมาะสมจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสติดอันดับสูงขึ้นบน Google รวมถึงช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนนี้เราจะมาดูรายการตรวจสอบที่สำคัญที่ทุกธุรกิจ SME และ E-Commerce ควรดำเนินการเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับ SEO 

เช็กลิสต์วิธีทำ SEO ให้ธุรกิจ SME และ E-Commerce ติดอันดับบน Google
Credit: Backlinko

1. ติดตั้ง Google Search Console  

Google Search Console (GSC) เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังจาก Google ที่ช่วยให้คุณติดตามประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google ได้ ที่สำคัญคือใช้งานได้ฟรี  โดยมีฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์มากมาย เช่น  ค้นหาว่าคีย์เวิร์ดใดช่วยเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ของคุณ, การส่ง Sitemap ของเว็บไซต์, แก้ไขข้อผิดพลาดของเว็บไซต์ รวมถึงตรวจสอบคะแนน Core Web Vitals  ว่าเว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย และรวดเร็วหรือไม่ การตั้งค่า  GSC จึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการทำ  SEO  

2. ติดตั้ง Bing Webmaster Tools 

แม้ว่า Search Engine อย่าง Bing จะไม่ได้รับความนิยมมากเท่า Google แต่รู้หรือไม่ว่ามีผู้ใช้งานในแต่ละวันมากกว่า 100 ล้านคนเลยทีเดียว การติดตั้ง  Bing Webmaster Tools (BWT) จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้เช่นกัน 

3. ติดตั้ง Google Analytics 

Google Analytics เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์ สามารถดูแหล่งที่มาของ Traffic  จาก Google, ดูว่าเพจใดที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณได้ Traffic มากที่สุด รวมถึงสามารถระบุุเว็บไซต์และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ ที่ส่ง Traffic มาที่เว็บไซต์ด้วย ซึ่งการเชื่อมต่อ Google Analytics กับ Google Search Console จะทำให้เห็นข้อมูล SEO ที่เป็นประโยชน์ภายในบัญชี Google Analytics ของคุณ 

4. ติดตั้ง Yoast SEO (สำหรับ WordPress และ Shopify) 

Yoast เป็นปลั๊กอิน SEO ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด  ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยปรับเว็บไซต์ WordPress ของคุณให้เหมาะกับ Search Engine ต่าง ๆ  โดยสามารถนำมาใช้กับเว็บไซต์ Shopify ได้เช่นกัน  นอกจากนี้ยังช่วยเรื่อง SEO ทางเทคนิค เชน  robots.txt และ sitemaps ด้วย จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้งานเริ่มต้นที่ต้องการโซลูชัน SEO แบบ All-in-One 

5. กำหนด KPI สำหรับโครงการต่าง ๆ ของคุณ 

การตั้งค่า Key Performance Indicators (KPIs) ช่วยให้คุณสามารถวัดความสำเร็จของกลยุทธ์ SEO ได้ เช่น การเพิ่มปริมาณ Organic Traffic, การปรับปรุงอัตรา Conversion และอันดับของคีย์เวิร์ด เพื่อให้สามารถประเมินผลลัพธ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม 

6. ตั้งค่าการติดตามอันดับ (Rank Tracking) 

หาก  KPI ในการวัดความสำเร็จของการทำ SEO ของคุณ คือ การทำอันดับของคีย์เวิร์ด  สิ่งที่ต้องมีคือการตั้งค่าเครื่องมือติดตามอันดับ  เช่น Map Rank Tracker ของ Semrush เพื่อตรวจสอบอันดับของคีย์เวิร์ดเป้าหมาย พร้อมติดตามการเปลี่ยนแปลงของอันดับ เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม 

การค้นหาคีย์เวิร์ด SEO 

การค้นหาคีย์เวิร๋ดที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการทำ SEO  เมื่อได้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมแล้ว ธุรกิจ SME และ E-Commerce จะสามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีคุณภาพได้อย่างตรงจุด  โดยเช็กลิสต์เหล่านี้จะช่วยให้การค้นหาคีย์เวิร์ด SEO ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น 

การค้นหาคีย์เวิร์ด SEO 
Credit: Backlinko

1. ระบุกลุ่มเป้าหมายของตลาดที่ต้องการได้  

ก่อนจะค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ต้องเข้าใจก่อนว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายที่จะค้นหาคำเหล่านั้น และกลุ่มเป้าหมายต้องการได้อะไรจากการค้นหาคีย์เวิร์ดดังกล่าว  โดยให้พิจารณาว่า  

  • ลูกค้าที่คุณต้องการคือใคร โปรไฟล์ของลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือบริการของคุณมีลักษณะอย่างไร? พวกเขาใช้ภาษาแบบบไหน และชอบดูคอนเทนต์แบบใด? 
  • Pain Point ของพวกเขาคืออะไร  พวกเขากำลังประสบปัญหาอะไรอยู่? คุณสามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร? 
  • แพลตฟอร์มที่พวกเขาใช้งาน  พวกเขาค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณบนโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มใด  
  • คำที่พวกเขาค้นหา  พวกเขามักใช้คำค้นหาอะไรเมื่อต้องการค้นหาสินค้า, บริการ หรือ คอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ  

2. ค้นหาคีย์เวิร์ดแบบ Long Tail ด้วย “Google Suggest” 

วิธีที่ง่ายที่สุดในการค้นหาคีย์เวิร์ดแบบ Long Tail คือการใช้คีย์เวิร์ดที่ Google แนะนำ  โดยให้พิมพคีย์เวิร์ดหลักใน  Google  โดยยังไม่ต้องคลิกปุ่ม Enter หรือปุ่ม “Google Search” แต่ให้สังเกตคำหลักที่ Google แสดงให้เห็นเพิ่มเติมด้านล่างแทน ซึ่งคีย์เวิร์ดเหล่านี้เรียกว่า “Google Suggest” นั่นเอง   

ทั้งนี้ เป็นเพราะคีย์เวิร์ดเหล่านี้มาจาก Google โดยตรง จึงช่วยให้รู้ว่ามีใครกำลังค้นหาคำเหล่านี้อยู่ ซึ่งอาจเป็นกลุ่มเป้าหมายของคุณก็เป็นได้   

3. ค้นหาคีย์เวิร์ดในชุมชนออนไลน์ 

คอมมูนิตี้หรือชุมชนออนไลน์ต่าง ๆ ถือเป็นแหล่งในการค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เพราะในคอมมูนิตี้คือศูนย์รวมของกลุ่มคนที่ประสบกับปัญหาใด ๆ อยู่ ซึ่งสินค้า บริการหรือคอนเทนต์ที่คุณสร้างสรรค์ อาจจะช่วยแก้ปัญหาให้กับพวกเขาได้   

โดยวิธีการค้นหาคีย์เวิร์ดในชุมชนออนไลน์ เพียงแค่ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับปัญหา เช่น คำว่า “How to” หรือ วิธีแก้ปัญหา ซึ่งข้อความสนทนาในชุมชนออนไลน์  มักจะแชร์ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตนเอง  จึงอาจช่วยให้มีไอเดียเพิ่มเติมในการค้นหาคีย์เวิร์ดหลักได้ 

4.ระบุคำคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันต่ำ ด้วย Semrush 

เครื่องมือ Keyword Magic Tool ของ Semrush เป็นเครื่องมือในการค้นหาคีย์เวิร์ดหลักได้แบบ Freemium เนื่องจากบัญชีที่ใช้งานได้ฟรีนั่น สามารถใช้งานได้สูงสุด 10 ครั้งต่อวัน  โดยในแต่ละครั้งที่คุณค้นหา ก็จะได้รับข้อมูลจำนวนเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดนั้น ๆ ด้วย เช่น  ปริมาณการค้นหา, ความยากของคีย์เวิร์ด, เทรนด์การค้นหา,  ค่า  CPC (จำนวนต้นทุนต่อคลิก) และการประมาณการปริมาณการเข้าชมที่เป็นไปได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยให้คุณได้เลือกคำหลักที่มีการแข่งขันต่ำและติดอันดับได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งได้รู้ว่าคีย์เวิร์ดใดน่าจะให้ผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับเว็บไซต์ของคุณ 

5. ค้นหาคีย์เวิร์ดในรูปแบบคำถาม 

คีย์เวิร์ดที่เป็นคำถามเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเขียนบทความหรือโพสต์ในบล็อก  โดยสามารถค้นหาคีย์เวิร์ดด้วยการพิมพ์คำถาม  เช่น วิธีการทำกาแฟ Cold Brew ด้วยเครื่องมือ Answer The Public ซึ่งเป็นเครื่องมือ Freemium  ที่จะแสดงคำถามที่ผู้คนพิมพ์ค้นหาในช่องทางออนไลน์ 

On-Page SEO 

เทคนิคการทำ On-Page SEO  คือหัวใจสำคัญสำหรับวิธีทำ SEO ที่จะช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสให้มีผู้คนคลิกเข้าชมเว็บไซต์แบบออร์แกนิกได้มากขึ้น  เพียงแค่ปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น URL, Title Tag, Meta Description และโครงสร้าง Heading ซึ่งทั้งหมดนี้มีผลต่อการจัดอันดับและประสบการณ์ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ 

วิธีทำ SEO เพิ่มอันดับ Google สำหรับ SME และ E-Commerce
Credit: Backlinko

1. รวมคีย์เวิร์ดของคุณไว้ใน URL 

URL ของคุณจะช่วยให้ Google เข้าใจว่าหน้าเว็บไซต์ของคุณเกี่ยวข้องกับอะไร ซึ่ง URL ที่มีคีย์เวิร์ดอยู่มากสามารถช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (Organic CTR) ได้อีกด้วย 

2. ใช้ URL ที่สั้น 

ลิงก์  URL ของคุณควรจะสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะจากการวิเคราะห์ผลการค้นหาของ Google จำนวน 11.8 ล้านรายการ พบว่า URL ที่สั้นมีอันดับที่ดีกว่าใน Google  และมักมีอันดับสูงกว่า URL ที่ยาว 

3. ใส่คีย์เวิร์ดของคุณไว้ด้านหน้าใน Title Tag 

นอกจากการมีคีย์เวิร์ดใน Title Tag จะเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญแล้ว  ตำแหน่งของคีย์เวิร์ดก็มีความสำคัญด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงควรวางคีย์เวิร์ดไว้ด้านหน้าของ Title Tag เสมอ  

4. แทรกคำขยายใน Title Tag 

คำขยายใน Title Tag คือคำหรือวลีที่เพิ่มเข้าไปใน Title Tag เพื่อให้ดูน่าสนใจมากขึ้นสำหรับผู้ค้นหา 

เช่น คำว่า  Best, Top, Checklist ซึ่งการเพิ่มคำเหล่านี้เข้าไปจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นกว่าคู่แข่งในการแสดงผลการค้นหา  

5. ใส่คีย์เวิร์ดใน 150 คำแรก 

การใส่คีย์เวิร์ดไว้ตอนต้นของโพสต์เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม หากต้องการให้เครื่องมือค้นหาและผู้ใช้งานเข้าใจเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานว่าพวกเขาเข้ามาถูกเว็บไซต์แล้ว 

6. ใช้คีย์เวิร์ดเป้าหมายในแท็ก H1, H2 หรือ H3 

อย่าลืมตรวจสอบด้วยว่าคุณได้รวมคีย์เวิร์ดไว้ในแท็ก H1, H2  หรือ H3 แล้วหรือยัง  ซึ่งจะช่วยให้  Google (และผู้ใช้งาน) เข้าใจได้ว่าเนื้อหาของเรามีเกี่ยวข้องกับอะไรและเกี่ยวข้องกับคำค้นหาใดบ้าง และยังเป็นการช่วยให้หน้าเว็บไซต์ของเราติดอันดับสูงขึ้นสำหรับคีย์เวิร์ดนั้น ๆ  ด้วย  

7.ปรับแต่งรูปภาพเพื่อ SEO 

การปรับแต่งแท็ก Alt และชื่อไฟล์ของรูปภาพ จะช่วยให้ Google เข้าใจรูปภาพของคุณ  เนื่องจาก  

Google ยังไม่สามารถมองเห็นรูปภาพในแบบที่มนุษย์สามารถทำได้ ดังนั้น เวลาที่บันทึกหรือเซฟรูปภาพให้ใช้ชื่อไฟล์ที่อธิบายสั้นๆ ว่ารูปภาพนั้นเกี่ยวกับอะไร   

8. ใช้ LSI Keyword กับคีย์เวิร์ดหลัก 

แทนที่จะใช้คีย์เวิร์ดเดียวซ้ำๆ  ซึ่งอาจถูกมองว่ามีเจตนาใช้คีย์เวิร์ดมากเกินไป  ให้ใช้ LSI Keywords  ซึ่งเป็นคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลักแทน แม้ว่าคีย์เวิร์ดเหล่านี้ อาจไม่ได้ช่วยให้อันดับดีขึ้นโดยตรง แต่ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของคุณได้ง่ายขึ้น 

การใส่ลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องและมีความน่าเชื่อถือในคอนเทนต์ของคุณ เช่น การอ้างอิงสถิติ เพื่อลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้อย่าง Wikipedia และ Google.com ลิงก์เหล่านี้จะแสดงให้ Google เห็นว่าเนื้อหาของเรามีการอ้างอิงที่ดีและน่าเชื่อถือ 

ทุกครั้งที่เผยแพร่คอนเทนต์ใหม่ ๆ  ให้ใส่ลิงก์ไปยังหน้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สัก 2-5 หน้า ภายในเว็บไซต์ของคุณด้วย  

คอนเทนต์   

 ถ้าต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือการทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูง ทำให้เนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่นำเสนอกลายเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การทำ SEO ในยุคปัจจุบัน  ซึ่งเรามีคำแนะนำมาฝากกัน  

1. แบ่งเนื้อหาเป็นส่วน ๆ เพื่อกระตุ้นให้คนอ่านนานขึ้น  

ไม่มีใครชอบอ่านข้อความยาว ๆ  ที่ติดกันเป็นพรืด การแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ จึงช่วยให้อ่านง่ายขึ้น และลดอัตราการกดออกจากเว็บไซต์  (Bounce Rate) และช่วยให้คนอ่านอยู่บนหน้าเว็บได้นานขึ้น 

2. เน้นทำคอนเทนต์ที่อยู่ในเทรนด์ที่คนสนใจ 

เทรนด์คอนเทนต์ในโลกออนไลน์มักเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การทำคอนเทนต์ที่อยู่ในกระแสหรือกำลังเป็นที่นิยม  จึงเพิ่มโอกาสให้คนอยากอ่านคอนเทนต์มากขึ้น  แม้ว่าการเข้ามาของ AI  จะช่วยให้การสร้างสรรค์งานเขียนหรือคอนเทนต์ต่าง ๆ ง่ายและรวดเร็วขึ้น  แต่คนอ่านก็ยังคงให้คุณค่ากับคอนเทนต์คุณภาพอยู่ เช่น งานเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ, งานวิจัยต้นฉบับ คอนเทนต์ที่ไม่ได้นำข้อมูลเก่า ๆ  ที่มีอยู่มาวนเขียนซ้ำ  รวมไปถึงคอนเทนต์ที่อยู่ได้นานไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม  

3. ให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลเชิงลึก  

หากต้องการให้เว็บไซต์หรือคอนเทนต์ของคุณติดอันดับการค้นหาบน Google ต้องคำนึงถึงการให้ข้อมูลเชิงลึกที่ทำให้คอนเทนต์์ของคุณเหนือกว่าคนอื่นด้วย  

4. ใช้มัลติมีเดีย  

คอนเทนต์ที่มีมัลติมีเดีย เช่น รูปภาพ, แผนภูมิ (Chart), อินโฟกราฟิก (Infographic), วิดีโอ  หรือแบบทดสอบ / แบบสำรวจที่ช่วยให้มีปฏิสัมพันธ์ได้ จะทำให้เนื้อหาคอนเทนต์น่าสนใจมากขึ้น และเสริมสิ่งที่เขียนให้ดูเข้าใจง่ายขึ้น รวมถุึงช่วยให้เนื้อหาของคุณติดอันดับดีขึ้นในผลการค้นหาบน Google  

Technical SEO  

Technical SEO เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อันดับของคุณดีหรือแย่ลงได้ แต่หากทำตามเช็กลิสต์ดังกล่าววนี้ ก็จะทำให้การทำ SEO ของเว็บไซต์หรือหน้าเพจดีขึ้นได้  

Credit: Backlinko

1. ตรวจสอบข้อผิดพลาดในการรวบรวมข้อมูล (Crawling) และการจัดทำดัชนี (Indexing) 

  • ข้อผิดพลาดในการรวบรวมข้อมูล (Crawl error) หมายถึง Google และบอทค้นหาต่าง ๆ กำลังมีปัญหาในการดูหน้าเว็บของคุณ ถ้า Google ไม่สามารถดูหน้าเว็บของคุณได้ หน้านั้นก็จะไม่มีโอกาสติดอันดับนั่นเอง 
  • ข้อผิดพลาดในการจัดทำดัชนี (Indexing error) หมายความว่า Google พบเนื้อหาของคุณ แต่ด้วยเหตุผลบางประการกลับไม่จัดทำดัชนีให้  จึงส่งผลให้ไม่มีการจัดอันดับเช่นกัน 

หากสังเกตเห็นว่า Google มีปัญหาในการเข้าถึงหน้าเว็บ สามารถเช็กข้อผิดพลาดเหล่านี้ได้ง่าย ๆ ผ่านรายงาน “Indexing” ใน Google Search Console 

2. ตรวจสอบว่า Google มองเห็นหน้าเว็บของคุณอย่างไร 

หาก Google ไม่สามารถเข้าถึงหน้าเว็บของคุณได้อย่างเต็มที่ ก็จะไม่มีการจัดอันดับ  ซึ่งสามารถตรวจสอบได้โดยการใช้ฟีเจอร์ “Inspect URL” ของ Google Search Console (GSC) เพียงแค่ป้อน URL  หน้าเว็บไซต์ของคุณที่ช่องค้นหาด้านบน    

3. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณเป็น Mobile-Friendly 

Google ใช้วิธีการจัดทำดัชนีแบบ Mobile-First หากเว็บไซต์ของคุณไม่ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับอุปกรณ์มือถือ ก็จะส่งผลให้่ติดอันดับที่ไม่ดีนัก   ดังนั้น จึงควรออกแบบเว็บไซต์ให้ปุ่ม หรือเมนูต่าง ๆ  สามารถใช้งานได้ดีบนมือถือ รวมถึงใช้ประโยคและย่อหน้าสั้น ๆ เพื่อให้อ่านได้ง่ายขึ้นบนมือถือ และ หลีกเลี่ยงป็อปอัพที่อาจทำให้ผู้ใช้งานเกิดความรำคาญได้ 

ลิงก์ที่ใช้งานไม่ได้หรือเปิดดูไม่ได้ นอกจากจะส่งผลเสียต่อ SEO แล้ว ยังทำให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ประทับใจด้วย  ดังนั้นจึงควรตรวจสอบและแก้ไขลิงก์เหล่านี้ ด้วยเครื่องมือ DrLinkCheck.com ซึ่งเป็นเครื่องมือฟรีที่ช่วยสแกนเว็บไซต์ของคุณเพื่อตรวจหาลิงก์ที่ใช้งานไม่ได้ 

5. เพิ่มความปลอดภัยของเว็บไซต์ด้วย HTTPS 

การที่เว็บไซต์ของคุณใช้ HTTPS ส่งผลต่อการจัดอันดับของ  Google ด้วย ดังนั้น หากคุณยังไม่ได้ใช้งาน HTTPS  หรือเพิ่งเปิดเว็บไซต์ใหม่ ก็ควรตั้งค่าให้เป็น HTTPS ตั้งแต่วันแรก  

6. ตรวจสอบความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Core Web Vitals) 

ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์เป็นหนึ่งในปัจจัยการจัดอันดับของ Google โดยสามารถตรวจสอบความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ของคุณได้ที่ PageSpeed Insights ซึ่งเป็นเครื่องมือฟรีที่ช่วยแจ้งให้คุณทราบว่าเว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วเพียงใดสำหรับผู้ใช้งานบนเดสก์ท็อปและมือถือ นอกจากนี้ยังบอกด้วยว่าคุณผ่านเกณฑ์ Core Web Vitals หรือไม่ พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการปรับปรุงด้วย 

7. ใช้ Schema Markup 

Schema Markup (หรือ Structured Data) ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาคอนเทนต์ของคุณได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏเป็น Rich Snippets ในผลการค้นหา เช่น การแสดงเรตติ้ง ด้วย  อย่างไรก็ตาม การติดตั้ง Schema ค่อนข้างซับซ้อน  จึงแนะนำให้ใช้ structured data testing tools  ซึ่งจะช่วยให้การใช้งาน Schema ง่ายขึ้น 

การสร้างลิงก์ (Link Building) 

เมื่อพูดถึงวิธีทำ SEO การสร้างลิงก์ (Link Building) คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยลิงก์ถูกใช้ในระบบจัดอันดับของ Google มานานแล้ว ในฐานะตัวชี้วัดคุณภาพเว็บไซต์และความน่าเชื่อถือ (Authority) ดังนั้น  ถ้าต้องการให้หน้าเว็บไซต์ติดอันดับใน Google  นี่่คือวิธีการสร้างลิงก์อย่างมีประสิทธิภาพที่เรานำมาฝากกัน  

วิธีทำ SEO เพิ่มอันดับ Google สำหรับ SME และ E-Commerce
Credit: Backlinko

1. แชร์ข้อความจากผู้เชี่ยวชาญไปยังสื่อต่าง ๆ   

เมื่อสื่อต้องการจะเผยแพร่ข้อมูลใด ๆ  พวกเขามักจะมองหาแหล่งข้อมูลสำหรับเรื่องราวที่พวกเขาจะเผยแพร่ด้วย  หากคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาของคุณ นั่นหมายความว่าคุณเองก็เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับบทความเหล่านั้นได้เช่นกัน และในทางกลับกัน คุณจะได้รับลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์ของคุณจากสื่อเหล่านั้นด้วย  

2. ประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย  (Digital PR) 

หนึ่งในวิธีสร้างลิงก์ให้กับเว็บไซต์ของคุณ คือการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ และส่งไปให้สื่อต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย  (Digital PR) โดยมีลิงก์ให้คลิกไปยังที่มาของข้อมูลได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายในการทำ Backlink กลับมาที่เว็บไซต์ของคุณ  

อีกวิธีที่ทำได้ง่าย คือการคัดลอกหรือก๊อปปี้ลิงก์ของคู่แข่ง ไปวิเคราะห์ผ่านเครื่องมือ Backlink Analytics เพียงแค่ใส่ URL ของคู่แข่งลงในเครื่องมือดังกล่าว จากนั้นก็ดึงข้อมูลลิงก์ทั้งหมดของคู่แข่งเพื่อมาใช้เป็นไอเดียในการสร้างลิงก์ของคุณ  

4. ร่วมพอดแคสต์ในฐานะแขกรับเชิญ 

หากมีโอกาสได้เข้าร่วมพอดแคสต์ในฐานะแขกรับเชิญ จะเพิ่มโอกาสในการได้ Backlink กลับมา  ไม่ต่างจากการทำ Digital PR   และยังมีโอกาสได้กลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มด้วย  

5. เขียนถึงอินฟลูเอนเซอร์ในบทความของคุณ  

แค่เขียนถึงอินฟลูเอนเซอร์ในคอนเทนต์หรือบทความใน Blog ของคุณ  และแจ้งให้พวกเขาได้ทราบ ก็จะเพิ่มโอกาสในการแชร์คอนเทนต์เหล่านั้นไปยังช่องทางของอินฟลูเอนเซอร์บนช่องทางโซเชีลมีเดียด้วย ซึ่งเป็นอีกวิธีที่ทำให้ได้ Backlink กลับมา 

เคล็ดลับและเทคนิค SEO ขั้นสูง  

1. ปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น 

การปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีอัตราการคลิก (CTR)  ที่สูง จะทำให้มี Traffic และ Conversion ที่มากขึ้น ขณะที่การทำให้ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์ได้นานขึ้นก็ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้าง  Conversion มากขึ้น  โดยสามารถทำได้ดังนี้  

  • ใช้ชื่อเรื่องและ Meta Description ที่น่าสนใจ 
  • ใช้ Schema Markup เพื่อสร้าง Rich Snippets 
  • ปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะกับ Featured Snippets 
  • สร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์การค้นหา 
  • ใช้ประโยคและย่อหน้าสั้น ๆ เพื่อเพิ่มความอ่านง่าย 
  • รวมภาพและสื่ออื่น ๆ ที่มีประโยชน์ 
  • เพิ่ม CTA, ลิงก์ภายใน และเมนูนำทางเพื่อความสะดวกในการใช้งาน 

2. ลบหน้าที่ไม่เป็นประโยชน์ (Dead Weight Page) 

การมีเว็บไซต์ที่มีหน้าจำนวนมากแต่คุณภาพต่ำอาจส่งผลเสียต่อ SEO โดย  Gary Illyes จาก Google เคยให้คำแนะนำไว้ว่า “ลดจำนวนหน้าลงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่าสร้างหน้าที่มีคุณภาพต่ำและไม่มีคุณค่า เพราะเราจะไม่จัดทำดัชนีหน้าดังกล่าว เราคิดว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร อีกทั้งคุณจะไม่ได้รับทราฟฟิก (Traffic) คุณภาพด้วย ” 

ตัวอย่างของ Dead Weight Page ได้แก่  

  • หน้า Category และ Tag ที่ว่างเปล่าใน WordPress 
  • บทความบล็อกที่ล้าสมัย 
  • เนื้อหาที่ซ้ำกัน 
  • บทความบล็อกคุณภาพต่ำ 
  • หน้าสินค้าในเว็บไซต์ E-commerce ที่ไม่มีการขาย 
  • หน้า Archive 
  • เนื้อหาบางส่วนที่มีข้อมูลน้อย และไม่สำคัญ  
  • หน้าบริการเก่า ๆ 

3. อัปเดตคอนเทนต์เก่าและโพสต์ใหม่เพื่อให้ทันสมัยเสมอ 

หากมีบทความเก่าในบล็อกที่ดูล้าสมัย อย่าลืมอัปเดตคอนเทนต์เหล่านั้นให้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยการเพิ่มเนื้อหา และข้อมูลใหม่ ๆ  เข้าไป และ Relaunch คอนเทนต์ดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Traffic ให้กับโพสต์นั้นได้อย่างรวดเร็ว   

SEO เป็นกลยุทธ์ที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจ SME และ E-Commerce จึงควรให้ความสำคัญกับการทำ SEO อย่างเป็นระบบ เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับและดึงดูดลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น 

หากคุณต้องการทำ SEO  เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตเหนือคู่แข่ง  IPlan Digital มีบริการรับทำ SEO  ที่พร้อมช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตด้วยกลยุทธ์การทำ SEO อย่างมืออาชีพ  ติดต่อเราได้ ที่นี่

ที่มา: backlinko.com 

บทความที่เกี่ยวข้อง:  SEO คืออะไร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหา ตอบโจทย์ธุรกิจอย่างไร