Clinic Marketing (#15) (#18)

https://chat.foxbot.app/webchat/?p=1116283&id=RA4oWc5dayKYU8B9
Video Marketing Form V2

โปรดกรอกฟอร์ม ทางเราจะติดต่อกลับภายใน 24 ชม.

หลังจาก กดส่งฟอร์มแล้ว รบกวนเช็คที่อีเมล Inbox หรือ Junk Mail ทางระบบเราจะมีส่งข้อมูลเพิ่มเติม และตอบกลับให้ทางเมล ภายใน 5 นาที

วิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ปัจจุบันนี้ 2021 ถึง 2022

chapters core web vitals 4 วิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ปัจจุบันนี้ 2021 ถึง 2022
Core Web Vitals
chapters google passage ranking 4 วิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ปัจจุบันนี้ 2021 ถึง 2022
Google Passage Ranking
chapters optimize for featured snippets 1 4 วิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ปัจจุบันนี้ 2021 ถึง 2022
Optimize for Featured Snippets
chapters the rise of visual search 1 4 วิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ปัจจุบันนี้ 2021 ถึง 2022
The Rise of Visual Search
chapters domain authority 2 0 1 4 วิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ปัจจุบันนี้ 2021 ถึง 2022
Domain Authority 2.0
chapters video continues to surge 1 4 วิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ปัจจุบันนี้ 2021 ถึง 2022
Video Continues to Surge
chapters nail search intent 1 4 วิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ปัจจุบันนี้ 2021 ถึง 2022
Master Search Internet
chapters combat decreasing ctrs 1 4 วิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ปัจจุบันนี้ 2021 ถึง 2022
Combat Decreasing CTRs
chapters quick seo tips for 2021 4 วิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ปัจจุบันนี้ 2021 ถึง 2022
Quick SEO Tips for 2021
Case study: Backlinko
 
บทที่ 1 core web vitals
core-web-vitals

Google ได้กล่าวว่า ในเดือนพฤษภาคม ปี 2021 core web vitals จะกลายเป็นปัจจัยในการจัดอันดับเว็บไซต์

Core web vitals คืออะไร?

ก่อนอื่นถ้าใครยังไม่รู้ว่า SEO คืออะไร สามารถหาศึกษาก่อน ที่จะเริ่มอื่นบทความนี้

Core Web Vitals เป็นปัจจัยสำคัญ สำหรับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้บนหน้าเว็บไซต์ Core Web Vitals ประกอบไปด้วย
Largest contentful paint (ความเร็วในการแสดงเนื้อหาบนหน้าเว็บได้ครบที่สุด พร้อมให้คนกดได้ โดยไม่มีการเลื่อนหน้าขึ้นลง)
First input delay (ช่วงเวลาที่ตัวบราวเซอร์ใช้ในการตอบสนองต่อคลิกของผู้ใช้บนหน้าเว็บ)
Cumulative layout shift (การเปลี่ยนแปลงเองบนหน้าเว็บทั้งหมด ที่ไม่ได้เกิดจากตัวผู้ใช้งาน เช่น การแสดงโฆษณา)

 

core-web-vitals-1

Google บอกว่า Core Web Vital จะส่งผลโดยตรงกับการจัดอันดับ

 

google-search-console-rankings

อย่างไรก็ตาม Google บอกว่า Core Web Vital ไม่ได้ทำให้คุณหมดสิทธิ์ในการเข้าอันดับ ในกรณีที่เว็บไซต์ของคุณได้คะแนนไม่ดี

 

google-search-console-rankings-1

ไม่มีเหตุผลใด ที่เราไม่ควรจะปรับเปลี่ยน Core Web Vitals สำหรับเว็บไซต์ของคุณ ลองแบ่งเวลามาลงมือทำสักนิด


วิธีปรับปรุง Core Web Vital Scores

วิธีการปรับปรุงคะแนน Core Web Vital ขึ้นอยู่กับเว้บไซต์ของเราเอง ตัวอย่างเช่น เว็บที่ใช้ Shopify จะต่างกับเว็บที่ใช้ WordPress ขั้นตอนการหาจุดที่จะปรับปรุงเข้าไปที่หน้า Core Web Vitals จาก Google search console

 

google-search-console

แล้วลองมอง ว่าหน้าเว็บของเรามีการจัดเรียงอย่างไร

 

google-search-console-1
google-mobile-first-index

จากความเห็นของผู้เขียน Google จะทำการ “ลงโทษ” Poor URL มากกว่าจะไป “Boost” Good URL ดังนั้นคุณต้องเอา URL ออกจากพื้นที่สีแดงให้ได้ การปรับปรุงเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการจะจัดการกับ Core web vital แบบไหน ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ของผู้เขียน มีคะแนน CLS (Cumulative Layout Shift) ไม่ดี

 

core-web-vitals-cls

ผู้เขียนจึงทำการปรับปรุงความเสถียรของหน้าเว็บขณะโหลด

 

เราปรับปรุง Core Web Vitals ของ Backlinko อย่างไร?

Backlinko ใช้เวลาในการแสดงผลนานมาก

 

google-page-speed

เพราะหน้าเว็บของ Backlinko นั้นใหญ่ รายละเอียดเยอะเกินไป แม้จะมีการใช้ธีม lightweight WordPress บีบอัดขนาดภาพให้เล็กลง ก็ไม่สามารถทำให้การแสดงผลของเว็บไซต์ลื่นไหลไปกว่าเดิมได้ หลังจาก Google ในทำการเปลี่ยนเกณฑ์การจัดอันดับเว็บไซต์ โดยวัดจากประสบการณ์ของผู้ใช้จริงแทน ทางผู้เขียนจึงต้องทำการยกเครื่องเว็บไซต์ใหม่ทั้งหมด โดยการจ้างเอเจ็นซี่ มาจัดการเปลี่ยนแปลงโค้ดที่ใช้ในเว็บไซต์

เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ในด้านของคะแนน Web Vital Scores

 

google-page-speed-1

เวลาโหลดโดยรวมทั้งหมด

 

web-page-performance-test

จากตัวอย่างข้างต้น การยกเครื่องเว็บไซต์ใหม่ทั้งหมดไม่ได้มีความจำเป็นต้องทำเสมอไป ในกรณีของ Backlinko นั้นมีหลายปัจจัยที่ทำให้ต้องทำการเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ครั้งใหญ่

 
บทที่ 2 Google passage ranking
google-passage-ranking

Google ได้เปิดตัวเทคโนโลยีในการค้นหา “ข้อความ” เป็นระบบที่จะทำให้ Google สามารถจัดอันดับหน้าเว็บไซต์ด้วยข้อความเพียงอย่างเดียวได้ ระบบการค้นหานี้ จะส่งผลต่อการค้นหาทั้งหมด 7% ซึ่งเป็นจำนวนที่มาก Google Penguin จะได้รับผลกระทบเพียง 3.1% เท่านั้น

 

Google Passage Ranking ทำงานอย่างไร?

Google จะสามารถจัดอันดับข้อความที่เกี่ยวข้องจากหน้าเว็บนั้นๆ ได้ ไม่ใช่แค่ตัวหน้าเว็บอย่างเดียว

google-understanding-passages

ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงเมื่อ Google มีการจัดอันดับข้อความ Google เปลี่ยนจากแค่การจัดอันดับความเกี่ยวข้องของทั้งหน้าเว็บ ไปเป็นจัดอันดับข้อความภายในหน้าเว็บนั้นด้วย
ปัจจัยในการจัดอันดับต่างๆ ของ Google จะยังมีอยู่ สิ่งที่เปลี่ยนไป คือหน้าเว็บที่จัดระเบียบดีจะมีโอกาสในการติดอันดับมากขึ้น จัดเนื้อหาในหน้าเว็บให้เป็นส่วนๆ แยกกัน Google จะจัดอันดับข้อความบนหน้าเว็บ กึ่งแยกกัน แต่ Google อาจไม่สามารถแยกเนื้อหาบนหน้าเว็บที่ไม่เป็นระเบียบได้ Google จะมองส่วนต่างๆ ของเว็บ เหมือนกับหน้าเว็บเล็กๆ หน้าหนึ่ง เนื้อหาในหน้าเว็บ จึงควรแบ่งให้เป็นส่วนๆ หนึ่งของมันโดยเฉพาะ และในแต่ละส่วน ควรเน้นไปที่หัวข้อย่อย

backlinko-seo-hub-seo-vs-sem

หน้าเว็บนี้ถูกแบ่งออกเป็น 21 ส่วน

 

seo-vs-sem-sections

มีการใช้ H3 สำหรับ Subheading
Google จะสามารถจัดอันดับเนื้อหาภายใต้ H3 แต่ละอัน ในฐานะหนึ่งหน้าเว็บได้

 

เน้นเนื้อหา Long form

ข้อเสียที่เคยมีของเนื้อหา Long form คือเว็บไซต์ Long form ที่เน้นในเรื่องๆ หนึ่ง อาจถูกจัดอันดับให้สูงกว่าเรา ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีส่วนหนึ่งในเว็บไซต์ของเรา เขียนเกี่ยวกับวิธีเริ่มเขียน Blog แล้วมีอีกเว็บไซต์ที่เขียนเกี่ยวกับการเริ่มเขียน Blog ทั้งหน้า ในบางกรณี Google จะทำการจัดอันดับหน้าเว็บนั้นไว้ก่อนเรา เพราะหน้าเว็บนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเรื่องเดียว 100% Google จะถือว่าหน้าเว็บนั้นเหมาะกับคนที่ต้องการจะเริ่มเขียน Blog มากกว่า แต่การจัดอันดับแบบนี้จะเริ่มเปลี่ยน Google จะสามารถจำแนกเนื้อหา Long form ออกเป็น 5,10 ถึง 100 ข้อความ

google-may-treat-page-sections-like-entire-pages-on-a-given-topic

Google สามารถแบ่งหน้าเว็บหนึ่งออกมา แล้วจัดอันดับในฐานะข้อความเดี่ยวได้แล้ว เนื้อหา long form จะใช้ได้ผลดีอย่างมาก ในการทำ SEO ปี 2021 นี้

long-form-content-generates-more-backlinks-than-short-blog-posts
 
 
บทที่3 การปรับแต่งเพื่อ Featured Snippet
optimize-featured-snippets

Featured Snippet คือการแสดงข้อความที่เป็นคำตอบให้กับคำค้นหา ก่อนเว็บไซต์ที่ถูกจัดให้เป็นอันดับ 1 ในผลลัพธ์การค้นหา โดยจะมีกรอบสี่เหลี่ยมล้อมรอบข้อความนั้นเอาไว้
เราควรทำอย่างไร ให้ข้อความในเว็บของเราไปขึ้นใน Featured Snippet เพราะระบบใหม่ของ Google นี้ ได้ทำให้ยอดคนเข้าชมเว็บไซต์หายไปมาก แม้เว็บนั้นจะถูกจัดไว้อันดับต้นๆ ก็ตาม

 

1.หาโอกาสในการติด Featured Snippet

โดยอ้างอิงจาก คำเฉพาะที่เราทำติดอันดับอยู่แล้ว และ คำเฉพาะที่มี Featured Snippet 99.58% ของ Featured Snippet ทั้งหมด มาจากหน้าเว็บที่อยู่ในอันดับต้นๆ
Ahrefs “Organic Keywords” report.

ผู้เขียนแนะนำให้ใช้ Ahrefs “Organic Keywords” ในการหาคำเฉพาะติดอันดับที่เราต้องการ ซึ่งเป็นคำที่มี Featured Snippet ด้วย

 

backlinko-keywords-with-featured-snippet-640x689

 

2.เพิ่ม “Snippet Bait” ในหน้าเว็บ

Snippet Bait คือกลุ่มคำจำนวน 40-60 คำที่ถูกออกแบบมาให้ติดอันดับใน Featured Snippet Spot SEMrush วิเคราะห์จาก Featured Snippet กว่า 7 ล้านแบบ และพบว่า Featured Snippet ส่วนใหญ่จะมีความยาว 40-60 คำ

 

most-featured-snippets-are-40-to-60-words-long-640x299

 

จากภาพ ผู้เขียน เขียนคำนิยามของ Visual Content ในรูปแบบของ Snippet Bait วิธีการนี้ช่วยให้เนื้อหาในหน้าเว็บติดอันดับ Featured Snippet ด้วยจำนวน Keywords

 

backlinko-content-marketing-hub-visual-content-640x485
visual-content-featured-snippet

 

3.ปรับเนื้อหาให้เข้ากับ Featured Snippet ชนิดอื่น

 

google-search-youtube-description-featured-snippet-1

 

Snippet Bait จะใช้ได้ผลกับ Snippet แบบย่อหน้า แม้ Snippet แบบย่อหน้าจะมีมากถึง 81.9% แต่มี Snippet ประเภทรายการ และประเภทตาราง อยู่ด้วย

 

type-of-featured-snippet

 

สมมุติว่าเราอยากจะเข้าอันดับ Snippet แบบรายการ ให่ใช้ H2 หรือ H3 เป็น Subheader ให้กับทุกอย่างในรายการของเรา

 
บทที่ 4 การมาของ Visual Search (การค้นหาด้วยภาพ)
chapter-the-rise-of-visual-search

มีสถิติมากมายเกี่ยวกับการใช้การค้นหาด้วยภาพ ผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ

google-lens-has-already-been-used-1-billion-times-768x291

Google Lens พันล้านครั้ง

pinterest-gets-600-million-visual-searches-per-month-768x290

Pinterest 600 ล้านครั้งต่อเดือน

36-of-american-consumers-have-already-used-visual-search-768x291

ผู้บริโภคที่เป็นชาวอเมริกา ใช้การค้นหาด้วยภาพแล้ว 36%

 

ผู้คนยังใช้การค้นหาด้วยภาพ ในการทำสิ่งเหล่านี้

  • ซื้อของ
  • หาเส้นทาง
  • หาสถานที่นัดพบ
  • วิจารณ์สภาพเศรษฐกิจในท้องถิ่น
  • แปลภาษา
  • หาสูตรอาหาร
  • หาข้อมูลโภชนาการ
  • และอีกมากมาย
62-of-young-consumers-want-more-visual-search-capabilities-768x406

กว่า 62% ของผู้บริโภครุ่นใหม่ ต้องการความสามารถในการค้นหาด้วยภาพมากขึ้น

 

วิธีปรับเว็บไซต์สำหรับการค้นหาด้วยภาพ

เว็บไซต์ที่ใช้บนโทรศัพท์ได้ง่าย จะได้เปรียบ

 

backlinko-visual-search-ranking-factors-study-640x591
google-lens-image-results-are-pages-that-pass-googles-mobile-friendly-test-768x344

ผลลัพธ์การค้นหาด้วยภาพจาก Google Lens กว่า 90% เป็นเว็บไซต์ที่ Google มองว่าเป็นเว็บที่ใช้บนโทรศัพท์ได้ง่าย Traditional Image SEO Still Applies
แต่การ SEO เพื่อการค้นหาด้วยภาพแบบดั้งเดิมยังใช้ได้อยู่ เช่น การปรับชื่อไฟล์ภาพและข้อความแฝงในภาพ (alt text)

an-average-google-lens-result-has-a-page-authority-of-35-and-a-domain-authority-of-64-768x461

โดยเฉลี่ย การค้นหาผ่าน Google Lens จะมีค่า DA (คะแนนความนิยมเว็บไซต์ทั้งเว็บ) 64 และค่า PA (คะแนนความนิยมเว็บไซต์ในแต่ละหน้า) 35
Google Lens Results Tend to Come From Content-Rich Pages

ผลการค้นหาใน Google Lens จะเน้นไปยังหน้าเว็บ ที่มีเนื้อหามากกว่า

 

the-average-word-count-of-a-google-lens-result-page-is-1631-words-768x313

 

Google จะดึงเว็บไซต์ที่มีตัวหนังสือโดยเฉลี่ย 1600 คำ มาเป็นผลการค้นหาใน Google Lens
Google กล่าวว่า เนื้อหาตัวหนังสือบนหน้าเว็บไซต์ สำคัญต่อการทำ SEO สำหรับการค้นหาด้วยภาพ

 
บทที่ 5 การเปลี่ยนแปลงของ Domain Authority 2.0
chapter-domain-authority

 

Domain Authority (หลักการให้คะแนนความนิยมผ่านเว็บไซต์เริ่มตั้งแต่ 1-100) เคยเป็นเรื่องเกี่ยวกับลิงค์เท่านั้นแต่ไม่ใช่อีกต่อไป ตอนนี้ทาง Google จะประเมิณเว็บของคุณโดยพิจารณาจากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีอำนาจ และความน่าเชื่อ และเนื้อหาในบทนี้จะครอบคลุมทุกอย่างที่ควรรู้กับเทรนด์ SEO นี้ โดยการสร้างเรทติ้งคุณภาพเว็บต่างๆของทางGoogleก็เน้นไปที่หลักการ E-A-T เช่นเดียวกัน(รายละเอียดเต็มในรูปภาพ)

EAT-section-of-guidelines-640x379

 

จากรูปภาพเราจะสรุปได้ว่า เพจหรือเว็ปไหนที่ไม่ค่อยมีประโยชน์แก่ผู้ใช้ เพจที่สร้างความเกลียดชัง แตกแยก อันตราย หรือให้ข้อมูลผิดๆแก่ผู้ใช้จะได้คะแนนต่ำที่สุด
แต่กับเว็บที่มีประโยชน์แก่ผู้ใช้ทาง Google ก็จะให้คะแนนจาก ความเชี่ยวชาญ ความมีอำนาจ และความน่าเชื่อถือของผู้สร้างเว็ปและตัวเว็ปไซต์นั้นๆ

 

google-search-report-on-prioritizing-reliable-resources-640x285

 

การให้คะแนนโดยคำนึงถึงหลัก E-A-T มีมาหลายปีแล้วแต่กลายเป็นหลักสำคัญมากๆในยุคปัจจุบันนี้
แล้วจะทำยังไงถึงจะทำให้เว็บไซต์เราดูมีผู้เชี่ยวชาญเป็นคนสร้างหละ?

 

google-search-report-on-EAT-640x399

 

เป็นผู้เชี่ยวชาญด้วยตัวเอง หรือ จ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

เพราะ Google ต้องการให้ข้อมูลต่างๆบนเว็บไซต์ถูกเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาด้าน โดยเฉพาะข้อมูลทางการแพทย์ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ควรและยากที่จะปลอมแปลง ซึ่งถ้าอยากให้คอนเทนท์ของท่านติดอันดับสูงๆก็ควรให้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับด้านนั้นๆเป็นคนเขียน

 

google-guidelines-creator-of-the-main-content-640x316
google-guidelines-on-creating-high-EAT-medical-advice-640x464

 

มีความโปร่งใส

เว็บของคุณควรมีข้อมูลติดต่อที่ชัดเจน ใส่ลิงค์แหล่งข้อมูล มีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่แน่นหนา ใส่ชื่อและคำโปรยสั้นเพื่อบ่งบอกถึงผู้เขียนในทุกบทความ

 

google-guidelines-on-creators-information-640x500

 

ใส่แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

ใครๆก็อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญได้แต่การที่เราใส่ที่มาของข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างถูกต้อง อย่างเช่น เราสร้างบทความเกี่ยวกับการแพทย์และเราใส่ที่มาของบทความว่ามาจากนายแพทย์ จะทำให้ทาง Google และผู้อ่านทั่วไปให้ความสนใจและเชื่อในบทความของคุณ

 

google-guidelines-on-trusting-external-sources-640x431
 
 
บทที่ 6 คอนเทนท์วิดีโอมีจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
 
chapter-video-continues-to-surge

จากข้อมูลของ CISCO , วิดีโอออนไลน์จะเพิ่มเป็น 82% ของคอนเทนท์ออนไลน์ทั้งหมดภายในปี2022 และจำนวน 82% นี้อาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ชมด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าจะมีวิดีโอมากมายบนโลกอินเตอร์เน็ตแต่จากการวิจัยของ Hubspot พบว่าผู้ใช้งานมากกว่า 43 ต้องการคอนเทนท์วิดีโอมากขึ้น
ดังนั้นหากคอนเทนท์ในรูปแบบวิดีโอไม่ใช่ส่วนนึงของแผนการตลาดดิจิตอลของคุณละก็คุณกำลังมาผิดทาง

 

Video Featured Snippets

Video featured snippets คือ ระบบการค้นหาเรื่องต่างๆที่ทางระบบค้นหาจะแสดงผลลัพท์อย่างแม่นยำและไม่ใช่แค่ในรูปแบบตัวอักษรแต่รวมถึงรูปภาพและวิดีโอด้วยซึ่งทำให้เข้าใจเนื้อหาและประเด็นต่างๆได้มากขึ้น ซึ่งวิธีเหล่านี้จะทำให้คอนเทนท์ของท่านมี Featured Snippets (แสดงวิดีโอตัวอย่าง)ขึ้นมา

 

how-to-knit-a-scarf-video-featured-snippet

 

1.แบ่งวิดีโอของออกเป็นหลายๆพาร์ท

ในบางครั้งวิดีโอของคุณใหญ่เกินว่าที่ทาง Google จะเข้าใจเนื้อหาท้ังหมด แต่การที่เราแบ่งวิดีโอของเป็นพาร์ทต่างๆจะทำให้ Google สามารถเข้าใจและนำแต่ละส่วนไปเป็นวิดีโอตัวอย่างได้ เช่น วิดีโอสอนการย้อมผม คุณอาจจะแบ่งเป็นตอนๆเช่น วิธีการเลือกน้ำยาย้อมผม สีที่เหมาะกับชาวเอเชีย ขั้นตอนการทำ การดูแลหลังจากทำ เป็นต้น

clear-sections-help-google-understand-the-content-in-your-video

2.ทำวิดีโอของคุณให้เหมาะสำหรับ SEO

การใส่ Keyword หรือตั้งชื่อวิดีโอให้ชัดเจน จะทำให้ Google รู้อย่างชัดเชนว่าวิดีโอของคุณเกี่ยวกับอะไรกันแน่

 

optimize-your-video-for-seo

 

3.การใส่ Transcript

หรือการใส่ Caption (คำบรรยายใต้วิดีโอ) ให้ถูกต้อง ถึงแม้ว่าทาง Youtube จะมีระบบอัติโนมัติให้แต่ว่ามันไม่ถูก100% , หากคุณใส่ caption ด้วยตัวเองจะทำให้ Google เข้าใจเนื้อหาของคุณมากขึ้น

youtube-generated-captions

สร้างช่องยูทูปของคุณ

ในยุคปัจจุบันมีการค้นหาสิ่งต่างๆใน Youtube มากเป็นอันดับ 2 ของโลก เพราะฉะนั้นถ้าอยากทำให้เว็บไซต์ของท่านติดอันดับสูงๆ การสร้างคอนเทนท์ในแบบวิดีโอถือเป็นตัวเลือกที่ดี และยิ่งกว่านั้นนักการตลาดส่วนมากไม่มีเวลาว่างพอจะสร้างคอนเทนท์ในแบบวิดีโอ ดังนั้นคอนเทนท์วิดีโอของคุณมีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะเห็น

 

ใส่วิดีโอลงในคอนเทนท์แบบเขียนของคุณด้วย

คุณควรใส่วิดีโอไว้ในคอนเทนท์แบบเขียนของคุณด้วย ซึ่งจะช่วยลดอัตรา Bounce rate (การเข้าชมเว็บไซต์เพียงหน้าเดียว)เพราะเนื่องจากคอนเทนท์แบบวิดีโอจะเพิ่มความน่าสนใจในและดึงดูดผู้ชมมากขึ้น

search-engine-popularity
 
บทที่ 7 เข้าใจ search intent อย่างถ่องแท้
chapter-nail-search-intent

Search intent(เจตนาการค้นหาสิ่งต่างๆของผู้ใช้)เป็นปัจจัยหลักของการทำให้เว็บของคุณติดอันดับสูงๆเพราะถ้าเราเข้าใจเจตนาของลูกค้าจะทำให้เราสร้างคอนเทนท์ที่ตรงความต้องการของลูกค้าได้ซึ่ง Google สามารถทำได้ ทุกการค้นหามีเจตนาอยู่เสมอ ผู้ใช้อาจจะต้องการหาสินค้า หรืออาจจะต้องการเปรียบเทียบสินค้าระหว่าง 2 ยี่ห้อ หรืออาจจะต้องหาวิธีการใช้สินค้าก็ได้

อันดับแรกควรตั้ง Keywords ให้ตรงความต้องการส่วนมากของผู้ใช้เช่นคำว่า“Protien powder”คนส่วนมากต้องการทราบ”ข้อมูล”ของโปรตีนชนิดนี้มากกว่าจะการซื้อสินค้า

ต่อมาคือการสร้างคอนเทนท์ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด เช่นผู้ใช้ค้นหาว่า “วิธีเพิ่มยอดผู้ติดตามในยูทูป” ลูกค้าย่อมต้องการวิธีต่างๆที่สามารถเพิ่มยอดผู้ติดตามในยูทูปได้ เราก็ควรจะสร้างคอนเทนท์ประมาน “10 วิธีเพิ่มยอดผู้ติดตามในยูทูป”

ขั้นต่อมาการปรับคอนเทนท์เก่าๆของเราให้เข้ากับเจตนาการค้นหาของผู้ใช้ เพราะเราสามารถปรับเนื้อหาคอนเทนท์เก่าๆของเราให้ตรงกับเจตนาการค้นหาของลูกค้าได้เพื่อทำให้อันดับการค้นหาของเราดีขึ้นเช่นเปลี่ยนจากกรณีศึกษาที่ยาวและอ่านยากมาเป็นขั้นตอนสั้นๆแทน

 

google-serp-buy-beats-by-dre-headphones
 
บทที่ 8 สู้กับ อัตรา CTRs ที่ต่ำลง
 
chapter-combat-decreasing-ctrs

 

Click Through Rate (CTR) หรือ อัตราการคลิกต่อจำนวนการมองเห็น คือ ตัวชี้วัดที่ใช้ในการดูอัตราการคลิกโฆษณายิ่งสูงยิ่งแปลว่าคอนเทนท์หรือเว็บเราดี ดังนั้นวิธีเหล่านี้จะช่วยให้อัตรา CTR กลับมาสูงขึ้น
1.ใส่ Keyword ในลิงค์ URL ของคุณ
2.ใส่อารมณ์เข้าไปในหัวเรื่อง
3.การใช้ Meta description ในหน้าเพจของคุณ
(meta description คือคำอธิบายว่าเพจของคุณเกี่ยวกับอะไรไว้ใต้ลิงค์ URL)

 
บทแถม : เทคนิคการทำ SEO อย่างรวดเร็วสำหรับปี2021
chapters quick seo tips for 2021 วิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ปัจจุบันนี้ 2021 ถึง 2022

1.ใส่หัวข้อบทความว่า”จากการวิจัย”

(Research content) เพราะว่าผู้ชมหลายๆคนเวลาเห็นคำว่าจากการวิจัย สถิติ เซอร์เวย์ จะกดเข้ามาอ่านเนื้อหา

2.สร้างคอนเทนท์ที่เป็นภาพหรือวิดีโอ

เพราะเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน และทำให้คอนเทนท์น่าสนใจ และโดยเฉพาะการมาของโซเชียลมีเดียนี้ทำให้คอนเทนท์ภาพและวิดีโอเติบโตขึ้นอย่างมากในอนาคต

3.นำบท Podcast มาทำเป็นเนื้อหาของคุณ

นำบท Podcast มาปรับและเรียบเรียงใหม่ให้น่าสนใจ

4.สร้าง Content hubs

Content hubs คือการสร้างคอนเทนท์สั้นๆที่สามารถเชื่อมไปยังอีกหลายๆเว็ปและหัวข้อ ซึ่งทำให้ไม่ต้องสร้างหลายๆเว็บหรือเนื้อหายาวๆ

ที่มา: Backlinko

iPlan Digital
iPlan Digital
Articles: 70